Hi, Welcome to my blog, enjoy reading.
RSS

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ขอบเขต.. ที่จะรักได้




ความรักที่เกิดขึ้น . . .
ท่ามกลางความเหงานั้น เกิดขึ้นได้ง่าย
แต่การจะสานความรักต่อ. . .
ให้ยืนยาวได้นั้น เป็นเรื่องยาก

ความเหงานั้น . . . มันโดดเดี่ยว
เปลี่ยนคนอ่อนไหว . . .
ให้กลายเป็นคนอ่อนแอได้
จนบางครั้ง . . .ต้องพยายามหาที่ยึดหัวใจ
ไม่ให้เคว้ง ไปตามแรงกระทบของชีวิต

และบางครั้ง . . .
ก็อาจเผลอ ไปยึดใครสักคน. . .ที่ไม่อาจจะยึดได้
เพราะเหตุผล แห่งความเป็นไปไม่ได้ ร้อยพันประการ . . .

แต่ . . . เมื่อความรักได้เกิดขึ้นมาแล้ว
ไม่ว่าจะอยู่ร่วมได้ หรือไม่ . . .
มีสิทธิ์ครอบครอง หรือไม่ . . .
ก็ไม่อาจที่จะ . . . ห้ามไม่ให้รู้สึกรักได้
เมื่อในที่สุดแล้ว . . .ห้ามไม่ได้
ก็อาจจะมีอีก ทางเลือกคือ . . .
การปล่อยหัวใจให้ได้ รั ก

แต่ . . .
ต้องหาที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับตัวเอง
หาบริเวณ ให้ตัวเองให้ได้
และหักห้ามใจไม่ให้เตลิดก้าวไปไกล
จากที่ที่ตัวเองต้องอยู่ . . .

นอกจาก . . .กล้าที่จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ก็ต้องกล้าที่จะเชื่อมั่นว่า . . .
เราต้องยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้
และต้องไม่ไปไกลกว่านี้ . . .
อยากอยู่ตรงไหนก็ได้ . . .
แต่ต้องอยู่ในขอบเขต รักได้เท่านั้น
อย่า! ไปเผลอทำร้ายใครให้เจ็บปวด . .


จาก.....http://variety.teenee.com/foodforbrain/23523.html

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

เตือนอันตราย ฝนกรด!!

..........หลากผลกระทบต่อมนุษย์...สิ่งแวดล้อม



แม้ตอนนี้พื้นที่โดยรอบเมืองหลวง จะเริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมาให้สดชื่นเย็นใจ ทั้งในยามเช้ามืด และพลบค่ำ... แต่ตามภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคใต้ของประเทศยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง สร้างความชุ่มฉ่ำให้ทั้งผืนดิน และผู้คน ที่สัญจรไปมา

ยามฝนตกคราใด ภาพกิจกรรมที่เรามักจะพบเห็น จนชินตาย้อนไปสมัยเมื่อสิบปียี่สิบปีก่อน นอกจากการวิ่งเล่นน้ำฝนอย่างสนุกสนานของเด็ก ๆ แล้ว คงหนีไม่พ้นภาพของพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา พากันเตรียมโอ่ง เตรียมกะละมังเพื่อคอยรองน้ำฝนเก็บไว้ใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งแน่นอนว่า น้ำฝนที่รองได้ ยิ่งเก็บไว้นานวัน เมื่อลองตักมาชิมดู จะมีรสชาติหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ...

แต่ปัจจุบัน ด้วยความแปรเปลี่ยนสภาวะสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขึ้นของภาวะมลพิษในอากาศทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ฝนกรด” ขึ้นซึ่งคำคำนี้หลายคนคงเคยได้ยินและทราบกันมาบ้างแล้ว ว่าเกิดจากสาเหตุใดรวมทั้งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของเราอย่างไร บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายัง มีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบถึงวิธีป้องกันแก้ไขภาวะฝนกรดว่าจะทำได้อย่างไร...??

ศากุน เอี่ยมศิลา นักวิชาการสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญกองสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ปกติแล้วฝนที่ตกลงมาจะมีสภาพความเป็นกรดอ่อน ๆ เล็กน้อยอยู่แล้วซึ่งไม่ได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากนัก โดยจะมีค่าความเป็นกรด-ด่างหรือค่าพีเอช (ph) ประมาณ 5.6 ถือเป็นตัวเลขมาตรฐานของน้ำฝน





แต่สาเหตุที่ทำให้เกิด “ฝนกรด” (Acid Rain) คือ การที่มีแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย ตามท้องถนนมีรถจำนวนมากจอดติดสัญญาณไฟจราจรก่อให้เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงเครื่องยนต์และโรงงานต่าง ๆ มีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ได ออกไซด์ และก๊าซออกไซด์ ของไนโตรเจน เข้าสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมากกลายเป็นกรดซัลฟิวริก และกรดไนตริก ประกอบกับมีตึกสูง บ้านช่องเรียงรายแออัดบดบังอากาศทำให้ไม่มีอากาศถ่ายเท เมื่อฝนตกลงมาสารพิษเหล่านี้จะรวมตัวกันกลายเป็นฝนกรดที่มีค่าพีเอชต่ำกว่า 4 และ ตกลงมายังผิวโลกกลายเป็นฝนกรด โดยก๊าซออกไซด์ของซัลเฟอร์และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทต่าง ๆ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานมาให้มนุษย์ใช้ในทุกวันนี้

จากข้อมูลการสำรวจพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยของกรมควบคุมมลพิษในปี 2548 พบว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดฝนกรดนั้นต้องเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมและการจราจรหนาแน่น ซึ่งตามต่างจังหวัดนั้นส่วนใหญ่จะมีค่าไม่เกินกว่าที่กำหนดจึงไม่มีปัญหาเรื่องฝนกรด แต่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครซึ่งมีจำนวนรถมาก มีตึกสูง อากาศถ่ายเทไม่สะดวก จากการวัดค่าพีเอชสามารถวัดได้ 4.9 และทำให้มีแนวโน้มเกิดฝนกรดมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการเกิดฝนกรดตลอดเวลาแต่มักเกิดเป็นบางช่วงบางเวลา ถ้าช่วงเวลาใดมีลมพัดผ่านอากาศถ่ายเทสะดวกก็จะทำให้เจือจางลง แต่หากช่วงเวลาใดมีสภาวะอย่างที่กล่าวมาข้างต้นก็จะทำให้เกิดฝนกรดได้

ฝนกรดจากมลพิษในอากาศอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนผิวหนังบอบบางเมื่อโดนฝนกรดเล็กน้อยก็จะเกิดอาการแพ้หรือเกิดผื่นคันและถ้ามีความเป็นกรดสูงจะมีผลทำให้ผิวหนังส่วนที่บอบบางที่สุดเกิดการระคายเคือง เช่น ตามเนื้อเยื่ออ่อน ๆ เปลือกตา ทำให้มีอาการแสบตาและคันตามผิวหนัง ซึ่งการเกิดฝนกรดนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์น้อยมาก แต่สิ่งที่ได้ รับผลกระทบจริง ๆ คือ ดิน พืชไร่ แหล่งน้ำ ต้นไม้ สัตว์น้ำและที่อยู่อาศัยของมนุษย์





ผลกระทบที่มีต่อดิน ก็คือ ฝนกรดจะไปทำการชะล้างละลายปุ๋ยและสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชออกไป ทำให้มีการเจริญเติบโตช้าและแห้งกรอบล้ม ตายในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังไปละลายสารพิษที่อยู่ในดิน เช่น อะลูมิเนียมและปรอทไหลลงสู่แหล่งน้ำก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์น้ำที่อยู่อาศัยในน้ำ ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จึงเกิดการล้มตายและถือเป็นการทำลายระบบนิเวศในน้ำด้วย

ส่วนผลกระทบต่อต้นไม้ ที่นอกจากสารอาหารในดินจะถูกชะล้างไปแล้วฝนกรดยังเป็นอันตรายต่อใบ ของพืช โดยจะถูกกัดกร่อนใบ ทำให้เป็นรูโหว่ จนขาดความสามารถในการผลิตอาหารจากการสังเคราะห์ด้วยแสงและมีเชื้อโรคต่าง ๆ ผ่านเข้า ทางแผลของใบ ทำให้ต้นไม้อ่อนแอและล้มตายในที่สุด สำหรับผลกระทบที่มีต่อสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหาเกิดปลวกขึ้นตามไม้จากสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ ฝนกรดอาจสร้างความรุนแรงต่อสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ โดยสิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ ปูนที่ถูกฝนกรดจะละลายออกมาทำให้เกิดความเสียหายจนบางครั้งไม่สามารถซ่อมแซมได้และสุดท้าย ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จะรุนแรงในด้านทางเดินหายใจ โดยในอากาศ กรดเหล่านี้อาจไปรวมตัวกับสารเคมีอื่น ๆ ก่อให้เกิดหมอกควันที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและทำให้หายใจลำบาก โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคหอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจอยู่แล้ว

เราสามารถสังเกตฝนกรดด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการ ปีนขึ้นไปดูหลังคาบ้านแล้วเปรียบเทียบกับหลังคาบ้านเขตอื่น ๆ หากฝนมีกรดมากสารพิษจะกัดกร่อนให้หลังคาบ้านผุและพังเร็ว เช่น บ้านที่อยู่ใกล้เขตอุตสาหกรรมหลังคาจะมีการผุเร็วกว่าที่อื่นและหากเราจะดื่มน้ำฝนควรหลีกเลี่ยงน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ที่มีแหล่งอุตสาหกรรมหรือในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ไม่ควรรองน้ำฝนมาดื่มกิน ซึ่งในปัจจุบันมีน้ำประปาสามารถดื่มกินได้แล้ว ควรจะดื่มน้ำประปาจะดีกว่า แต่ถ้าต้องการดื่มต้องรอให้ฝนตกหนักประมาณ 3-4 วันติดต่อกันเสียก่อนแล้วจึงค่อยกรองน้ำฝนมาดื่มกินเพราะฝนที่ตกลงมาวันแรกยังมีสารพิษเจือปนอยู่
อ่านต่อ...